1. Disclaimer ขอออกตัวก่อนว่าสิ่งที่เล่าต่อไปนี้คือประสบการณ์ส่วนตัวที่หมอพบ ไม่ได้อ้างอิงตำรา งานวิจัยใด เป็นแค่มุมมองและประสบการณ์ของหมอที่ผ่านการรักษาคนไข้มากมายเท่านั้น จุดประสงค์เพื่อให้เห็นมุมมองที่เป็นประโยชน์กับผู้ป่วยเอง
2.ยาที่ใช้รักษาโรคแพนิคมักมีหลายขนาน แต่ชนิดหนึ่งที่พบบ่อยๆทั้งในภาครัฐและเอกชนคือตัวยาชื่อ Fluoxetine ซึ่งยาตัวนี้ก็จะมีหลายบริษัทผลิต แต่ละบริษัทก็จะตั้งชื่อแตกต่างกันไปเช่น Prozac, Sarafem, Rapiflux, Selfemra ฯลฯ ซึ่งรูปแบบเม็ดยาก็จะต่างกัน บางที่เป็นวงรีสีขาว บางที่เป็นสีเหลือง บางที่เป็นแคปซูล >>> แต่ตัวยาเดียวกันหมด ดังนั้นตามความคาดการณ์คือ ให้ผลเหมือนกัน!!
3.มุกที่เคยเห็นใช้ (หมอเองก็เคยใช้) คือการให้ยาเดิมแต่เปลี่ยนบริษัท เพื่อให้เม็ดยาเปลี่ยนไป เพราะคนไข้หลายคนมีความเชื่อว่า ยาที่เขาเคยกินเม็ดแบบนี้ มันไม่หาย ต้องขอเปลี่ยน
4.แต่ความจริง ไม่ได้เกี่ยวกับยาว่าเป็นตัวไหนเลย(เพราะใช้ยาตัวเดิม) สาเหตุที่แท้จริงคือ “ความเชื่อ” และ “ความหวัง” ที่มีต่อตัวโรค โดยเฉพาะคนไหนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่หายแน่ๆ ตัวเองมันแย่ อาการเรามันหนักมาก >>> แบบนี้ไม่ว่ากินยาอะไรก็ไม่ดีขึ้น หากไม่มีการบำบัดเยียวยาจิตใจร่วมด้วย (ยายังคงจำเป็นแต่กระบวนบำบัดจิตใจสำคัญกว่าในเคสแบบนี้)
5.ดังนั้น สิ่งที่ช่วยให้เราดีขึ้นได้จริงๆคือ “ความหวัง” และ “ความเชื่อมั่น” ซึ่งไม่ว่าหมอใด รพ.ใด หรือคลินิกใดก็ตาม หากสามารถทำให้เราเกิดความ “เชื่อมั่นในตัวเอง” หรืออย่างน้อยๆเชื่อว่าโรคนี้รักษาได้ และเรียนรู้วิธีที่จะหาย >>> นี่ต่างหากคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราดีขึ้นได้มากๆๆๆ เลย
6.ดังนั้น หมอจึงอยากบอกให้ทุกท่านที่อ่านถึงตรงนี้ได้มั่นใจว่า โรคแพนิค หรือแม้กระทั่งซึมเศร้าเองก็ตามสามารถรักษาได้ และเราดีขึ้นได้มากๆอาจไม่มีคลินิกใดดีที่สุด หรือ รพ.ใดดีที่สุด แต่อยู่ที่กระบวนการของที่ไหนทำให้เราเกิดความรู้สึก “เชื่อมั่นในตัวเอง” ได้ ที่นั่นแหล่ะคือที่ๆเหมาะกับเราที่สุดครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครัช 😊
ปล. ไม่ได้แปลว่ายาไม่จำเป็นนะครับ ในหลายๆรายยาจำเป็นมากเช่นกัน แต่สำหรับบางคนที่กินยานานๆแต่ไม่เคยผ่านกระบวนการบำบัดเลย >>> แบบนี้จะได้ผลน้อย ดังนั้นถ้าจะได้ผลดีคือการใช้ยาร่วมกับกระบวนการบำบัดเยียวยาจิตใจ แบบนี้จะตรงจุดกว่าครับ
