1)ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าอาการนี้เป็นของจิตใจคนเลเวลหนึ่ง ที่กลัวไปหมดทุกอย่าง ขาดความตระหนักรู้ ขาดสติ และโทษตัวเองว่าทำไมต้องป่วย ทำไมแย่แบบนี้ ทำไมไม่หายสักที ทำงานก็ไม่ได้กลายเป็นคนกระจอก หดหู่ ท้อแท้ เชื่อว่ายังไงตัวเองก็ไม่หาย >>>> ที่พูดมาทั้งหมดมันเกิดจากโรคแพนิคนะ เพียงแต่เรายังไม่รู้จักมันดีพอ
2) หลักสำคัญคือ ให้เข้าใจว่า อาการทั้งหมด ทั้งอาการทางกาย(เหนื่อย แน่นอก ใจสั่น เหงื่อแตก วิงเวียนฯลฯ) และความรู้สึกในจิตใจ (กลัว กังวล ฯลฯ) นั้นล้วนมาจาก “โรคแพนิค” ไม่ได้มาจากตัวเรา >>> เพราะฉะนั้น ไม่ต้องโทษตัวเองที่เป็น เราไม่ได้อยากเป็นแพนิค แค่แพนิคมันมาเกิดกับเรา
3) และขอให้เชื่อเพิ่มขึ้นด้วยว่า โรคแพนิคมันน่ากลัวก็จริง แต่จริงๆมันไม่ใช่โรคร้ายแรง ถ้าไม่เชื่อลองดูคลิปนี้ >>>
4) แต่ถ้ายังไม่เชื่ออีก ให้ลองนึกย้อนหลังกลับไปดู ว่าเราอยู่กับอาการแบบนี้มานานขนาดไหนแล้ว แล้วมันทำให้เราเป็นอะไรจริงๆจังๆหรือยัง? เราแขนขาด ขาขาด พิการเพราะแพนิคหรือไม่? เราเสียชีวิตจริงๆ เพราะแพนิคหรือไม่? หมอคิดว่าทุกคนคงผ่านการตรวจหลายรอบมากๆ ซึ่งผลตรวจอวัยวะต่างๆก็คือ “ปกติ” >>>นั่นแปลว่า แพนิคไม่ทำให้เราเสียชีวิต หรือพิการ หรือเป็นอะไรร้ายแรงแน่นอนครับ 😊
5) เมื่อเข้าใจดังนี้ ให้ลองใช้วิธีนี้ดู คืแ ให้สมมุติว่าเราที่กำลังอ่านเป็นคนๆหนี่ง ส่วนคนที่กำลังเกิดอาการแพนิค(คือตัวเราอีกคน) คนละคนกัน
แล้วเราเอง ในฐานะที่อ่านมาถึงตรงนี้ ลองบอกคนที่กำลังเกิดอาการหน่อยสิ ว่าอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นอาการของแพนิคนะ และแม้มันจะน่ากลัว แต่มันไม่ใช่โรคร้ายแรงแน่นอน ช่วยบอกให้ตัวเราเขาเชื่อหน่อยว่าแท้จริงแล้วโรคนี้ดีขึ้นได้ และไม่ทำอันตรายแก่อวัยวะใดๆของเราแน่นอน!
ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ หนึ่งในวิธีมอบ “การยอมรับ” ให้ตัวเอง ซึ่งเป็นกระบวนการแรกในการหายจากแพนิคครับ 😊
.
.
ถ้าทำได้ หรือทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องว่าตัวเองล้มเหลวนะครับ เราดีขึ้นได้แน่นอน (แค่วิธีอาจจะไม่ใช่วิธีที่เหมาะกับเรา)
หากใครงงๆเรื่อง #เลเวลแพนิค สามารถอ่าน “ระดับของแพนิค” ได้ที่ลิงค์นี้นะครับ
https://www.facebook.com/photo/?fbid=557207840153042&set=a.178259808047849
