1.เคสนี้เดิมทีเป็นคนชีวิตวุ่นวายมาก ต้องทำหลายสิ่งหลายอย่าง ต้องเตรียมความพร้อม ทำนั่นโน่นนี่ ใช้สมองตลอด ไหนจะขายของ ไหนจะดูแลลูกคอยรับส่ง แม้จะรู้ว่าในสมอง ในจิตใจวุ่นวายมากแต่ก็หยุดไม่ได้ >>> พอหยุดก็จะรู้สึกผิด >>> หงุดหงิดตัวเอง โกรธตัวเองที่ทำอะไรได้น้อย
.
2.พอเป็นแพนิคยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เหมือนถูกซ้ำเติม นอกจากหยุดคิดไม่ได้ ยังมีอาการทางกายแปลกๆ ใจเต้น แน่นอก เหนื่อยจะเป็นจะตาย >>> ยิ่งโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้น้อยลงไปอีก
.
3.เมื่อหมอพาสำรวจตัวเองตามจริง จึงพบว่า “ตัวเองน่าเห็นใจเพียงใด” ทั้งภาระกิจมากมายในแต่ละวัน ทั้งภาระกิจครอบครัว จากนั้นจึงตามมาด้วย “ความรู้สึกผิดต่อตนเอง” ที่ดันไปโกรธ ไปหงุดหงิดตัวเองทั้งๆที่ตัวเองก็ทำอะไรตั้งมากมาย
.
4.ยิ่งฟังเราจะยิ่งเห็นว่า เขาโกรธตัวเองมากเพียงใด >>> แต่นั่นยิ่งแปลว่าเขายิ่ง”รักตัวเอง” มากเท่านั้นนะ เพราะลึกๆแล้ว คนที่โกรธตัวเอง ไม่พอใจตัวเอง …
จริงๆแล้ว คุณกำลังหวังดีต่อตัวเอง คุณอยากให้ “ตัวคุณ”นั้นได้พบเจอกับสิ่งดีๆ ได้เคลียร์ภาระกิจให้เสร็จ จะได้ไปเที่ยว จะได้เป็นอิสระจากภารกิจทั้งปวง เพียงแต่ตอนนี้ตัวเรายังไม่เป็นดั่งหวัง เราจึงไม่พอใจ เราจึงโกรธตัวเรา
.
5.การยอมรับว่าตัวเองทำได้ดีมากๆแล้ว เก่งมากๆแล้ว >>>จะช่วยให้เรายอมรับตัวเรารู้สึกโกรธตัวเองน้อยลง
.
การยอมรับว่าตัวเรามีสิทธิที่จะโกรธตัวเองได้ แต่นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้ตั้งใจ เพราะเราหวังดี เพราะเรารักตัวเอง >>> จะทำให้ความรู้สึกผิดลดน้อยลง
.
การให้อภัยตัวเอง ที่ตัวเราก็ไม่รู้มาก่อนว่าเราเผลอไปโกรธตัวเอง เพราะเรารักตัวเองมากเพียงใด>>> จะช่วยให้ความรู้สึกผิดเบาบางอย่างมาก
.
จากนั้นจึงอนุญาตให้ตัวเรา ได้พัก ได้ละเว้นจากภารกิจบางอย่าง ได้เป็นอิสระต่อใจตนเอง*** >>> สิ่งนี้จะทำให้ความว้าวุ่นทั้งปวงจางหายไป
.
——————
ประสบการณ์ครั้งนี้ ส่วนตัวหมอได้เรียนรู้ว่าสำหรับบางคน “ยิ่งโกรธ = ยิ่งรัก”
